เรียบเรียงโดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณชรต อิ่มณะรัญ หัวหน้าสาขาวิชาการเขียนบทและการกำกับภาพยนตร์และซีรีส์ วิทยาลัยนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
ซีรีส์ เมนูรักพิชิตใจราชา (Bon Appétit, Your Majesty) ทำให้เราเห็นว่า แม้จุดจบทางประวัติศาสตร์จะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ผู้เขียนบทและผู้กำกับสามารถปรุงรายละเอียดระหว่างทางให้เต็มไปด้วยรสชาติใหม่ๆ ที่กระแทกใจผู้ชมได้เสมอ
ซีรีส์ย้อนยุคเกาหลีเรื่องนี้เล่าเรื่องเชฟสาวที่ก้าวเข้าสู่ราชสำนักและใช้ฝีมือการปรุงอาหารเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์กับกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ เรื่องราวผสมผสานความรัก อาหาร และบรรยากาศการเมืองในวัง ซึ่งล้วนเป็นฉากหลังที่ผู้ชมจำนวนไม่น้อยรู้ตอนจบอยู่แล้วจากประวัติศาสตร์
ตัวละครกษัตริย์ในเรื่องนี้มีพื้นฐานจากพระเจ้า Yeonsangun แห่งราชวงศ์โชซอน ผู้ถูกจดจำว่าเป็นกษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมและมีประวัติศาสตร์อันมืดมน แต่ผู้สร้างเลือกเปลี่ยนชื่อเป็น “Yi Heon” เพื่อเปิดพื้นที่ให้เล่าเรื่องราวในมิติใหม่ ซีรีส์จึงไม่เพียงอิงจากประวัติศาสตร์ แต่ยังใช้จินตนาการเติมเต็มชีวิต ความรู้สึก และความสัมพันธ์ที่ไม่เคยถูกบันทึกในตำรา เป็นการตีความที่ช่วยให้ผู้ชมได้เห็นภาพของ “กษัตริย์ในฐานะมนุษย์” มากกว่าตัวละครเชิงสัญลักษณ์ในหน้าประวัติศาสตร์
ความสำเร็จของซีรีส์นี้ชี้ให้เห็นว่าเสน่ห์ของการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่การปิดบังจุดจบ หากอยู่ที่การทำให้ “ระหว่างทาง” เต็มไปด้วยรายละเอียดที่จับใจ อาหารในเรื่องทำหน้าที่มากกว่าของกิน มันกลายเป็นภาษาของความรัก การต่อรอง และอำนาจ การปรุงแต่ละจานสะท้อนทั้งวัฒนธรรมและความรู้สึกในเวลาเดียวกัน และช่วยเปิดเผยชีวิตประจำวันที่ตำราประวัติศาสตร์ไม่เคยบันทึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ผู้ชมรู้สึกใกล้ชิดที่สุด
เมื่อผลลัพธ์ของเรื่องเป็นสิ่งที่รู้ล่วงหน้าแล้ว เทคนิคการสร้าง “ความรู้ไม่เท่ากัน” ระหว่างผู้ชมกับตัวละครจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นี่คือสิ่งที่นักปรัชญากรีกอย่างอริสโตเติลเคยอธิบายไว้ในแนวคิด Dramatic Irony ผู้ชมรู้ว่าตัวละครกำลังมุ่งสู่ชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ยังเฝ้าลุ้นว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรและเมื่อใด หลายศตวรรษต่อมา ผู้กำกับ Alfred Hitchcock ก็ใช้หลักการเดียวกันในภาพยนตร์ เขาอธิบายว่าความลุ้นระทึกไม่ได้เกิดจากการไม่รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่เกิดจากการที่ผู้ชมรู้มากกว่าตัวละคร และเฝ้ามองความจริงคืบคลานเข้ามาทีละน้อย ซีรีส์เรื่องนี้ใช้กลยุทธ์นี้อย่างได้ผล ผู้ชมรู้อยู่แล้วว่าประวัติศาสตร์จะนำพาไปทางไหน แต่ยังถูกดึงให้ติดตามด้วยความลุ้นว่าเรื่องราวจะคลี่คลายอย่างไรในรายละเอียดเล็กน้อยแต่ทรงพลัง
นอกเหนือจากโครงสร้างการลุ้นระทึก ความสำเร็จของซีรีส์ยังอยู่ที่การทำให้ตัวละครมีเลือดเนื้อความเป็นมนุษย์มากกว่าตัวละครเชิงสัญลักษณ์ กษัตริย์มิได้ถูกนำเสนอเพียงในฐานะผู้กุมอำนาจ หากแต่เป็นมนุษย์ที่มีความหวาดกลัว ความปรารถนา และความเปราะบาง ขณะที่เชฟผู้หญิงไม่ได้เป็นเพียงผู้รับใช้ แต่เป็นตัวละครที่ใช้ทักษะและความสร้างสรรค์เพื่อสร้างพื้นที่เล็กๆ ของเสรีภาพและความหมายท่ามกลางกำแพงแห่งอำนาจ ความเป็นมนุษย์เช่นนี้คือสิ่งที่ผู้ชมเชื่อมโยงได้ง่าย ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดก็ตาม
นอกจากนี้ ซีรีส์ยังให้ความสำคัญกับตัวละครรองและเสียงเล็กๆ ที่มักถูกละเลยจากหน้าประวัติศาสตร์ แนวคิดเรื่อง “เสียงหลายเสียง” ที่นักทฤษฎีอย่างมิฮาอิล บัคตินเคยอธิบายไว้ สะท้อนชัดในงานนี้ เมื่อเรื่องราวไม่ได้ถูกเล่าจากสายตาของผู้ทรงอำนาจเพียงฝ่ายเดียว แต่เปิดโอกาสให้ข้าราชบริพาร เพื่อนสนิท และผู้คนรอบข้างได้เผยมุมมองของตนเอง การขยายเสียงเหล่านี้ทำให้โลกของราชสำนักมีมิติ และทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงเส้นตรงของเหตุการณ์ใหญ่
สิ่งที่น่าสนใจคือปรากฏการณ์ เมนูรักพิชิตใจราชา ยังสะท้อนพฤติกรรมการดูซีรีส์ในยุคปัจจุบัน ที่หลายคนคุ้นเคยกับการถูกสปอยล์ตอนจบทางออนไลน์ หรือเลือกดูแบบ binge watching รวดเดียวจบทั้งซีซัน แต่แม้จะรู้ข้อมูลล่วงหน้าแล้ว ผู้ชมก็ยังอยากติดตามเรื่องราวต่อไป เพราะสิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่ “ผลลัพธ์” แต่คือ “ประสบการณ์ระหว่างทาง” การที่ผู้สร้างสามารถทำให้ผู้ชมยังอินได้แม้รู้ตอนจบอยู่แล้ว จึงตอกย้ำคุณค่าของงานเขียนบทและการกำกับว่า ศิลปะการเล่าเรื่องคือการสร้างรสชาติใหม่ในสิ่งที่เราคิดว่ารู้จักดีอยู่แล้ว
การเล่าเรื่องประวัติศาสตร์จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความประหลาดใจที่ตอนจบ แต่อยู่ที่การออกแบบเส้นทางการเล่าเรื่องให้มีพลังทางอารมณ์ ซีรีส์นี้ทำให้ผู้ชมตระหนักว่า จุดหมายอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ระหว่างทางสามารถเต็มไปด้วยความหมายใหม่ๆ ที่เราค้นพบ การที่ผู้สร้างเลือกเล่าเรื่องผ่านอาหาร ความสัมพันธ์ และมุมมองที่หลากหลาย จึงทำให้ เมนูรักพิชิตใจราชา ไม่ได้เป็นเพียงการทบทวนประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำให้ประวัติศาสตร์มีชีวิตอีกครั้ง
นี่คือบทเรียนสำคัญสำหรับนักเขียนบทและผู้กำกับรุ่นใหม่ ศิลปะการเล่าเรื่องไม่ใช่เพียงการสรุปเหตุการณ์ หากเป็นการทำให้ผู้ชม “รู้สึก” ไปกับเหตุการณ์นั้นๆ ประวัติศาสตร์บอกว่าอะไรเกิดขึ้น แต่การเล่าเรื่องบอกเราว่าเราควรรู้สึกอย่างไรเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น และนั่นคือเสน่ห์ที่แท้จริงที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ตรึงใจผู้ชม แม้ทุกคนจะรู้ตอนจบอยู่แล้วก็ตาม
เพราะสุดท้ายแล้ว ประวัติศาสตร์อาจบอกเล่าจุดจบ แต่ศิลปะการเล่าเรื่องคือสิ่งที่ทำให้เรายังอยากเดินทางไปพร้อมกับมัน
26 กันยายน 2568
ผู้ชม 45 ครั้ง