“สุภัทร” เผยภายหลังระดมความคิดเห็นแผนการผลิต-พัฒนากำลังคนด้านการศึกษาตามช่วงวัยเพื่อการมีงานทำ (พ.ศ.2563-2570) ครบ 4 ภาค เน้นการสร้างและปรับเปลี่ยนค่านิยมเรื่องการศึกษาเพื่อการมีงานทำและแนวโน้มอาชีพที่เปลี่ยนแปลงไป ชูการออกแบบหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องอาชีพ
ดร. สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวในการประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านการศึกษาตามช่วงวัยเพื่อการมีงานทำ (พ.ศ.2563 – 2570) ครั้งที่ 4 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้อำนายการเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู อาจารย์ ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม สาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม กว่า 100 คน ณ โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ อ.เมือง จ.ชลบุรี เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า สำหรับการระดมความคิดเห็นในการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการผลิตและพัฒนากำลังคนตามช่วงวัย ใน 4 ภูมิภาค นั้น ซึ่ง 3 ครั้งแรกไปที่จังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ สงขลา และสุดท้ายชลบุรี ครบ 4 ภูมิภาค ซึ่งกรอบในการประชุมมุ่งเน้นไปที่โฟกัสการมีงานทำ เนื่องจากเราไปสร้างกลยุทธ์ต่าง ๆ ปรับเปลี่ยนวิธีการเน้นให้ผู้เรียนสามารถออกไปประกอบวิชาชีพดูแลตัวเองได้ เพื่อการมีงานทำ โดยได้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเยอะ ยกตัวอย่างเช่น จังหวัดเชียงใหม่ เด็กเข้ามาอยู่ในสายอาชีพมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งอาชีวะอาจจะเปิดถึงระดับปริญญาตรีด้วย ซึ่งประเทศไทยยังใช้ปริญญาเป็นการตั้งมูลค่างาน การเปิดระดับปริญญาตรีของอาชีวะจึงมีส่วนช่วย แม้ผู้ปกครองจะยังไม่ค่อยยอมรับมากนักแต่เด็กยอมรับ
เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวเพิ่มเติมว่า เรื่องที่มีความเหมือนกันในหลาย ๆ ภูมิภาคคือ ครูแนะแนวเป็นเรื่องหลัก เพราะ การที่เด็กโตขึ้นเรียนจนถึงมัธยมปลายเด็กยังไม่รู้ตัวเองว่ามีความถนัด มีความอยาก มีความชอบที่จะประกอบอาชีพอะไร ฉะนั้น ความรู้จากครูแนะแนวเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่ง 3-4 ภูมิภาค พูดคล้าย ๆ กันหมด แต่ว่าในระบบของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ครูแนะแนวจะต้องดูเด็กให้ออกว่า เด็กจะมีความสามารถอย่างไร อยากจะประกอบวิชาชีพ ไหน คุณจะต้องใส่อะไรลงไปในศักยภาพของเด็ก นับว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับครูแนะแนว
นอกจากนี้ การประชุมระดมความคิดเห็นในทุกภูมิภาค พูดถึงวิธีการประเมินคุณภาพผู้เรียน (NT) วัดเด็กประถมการศึกษาปีที่ 3 ส่วนการสอบ Ordinary National Education Test คือการทดสอบการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐานที่ถูกจัดสอบขึ้นโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. “ โอเน็ต” เป็นการจัดสอบสำหรับนักเรียนชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 เพื่อชี้วัดคุณภาพและมาตรฐานทางการศึกษานักเรียนและโรงเรียน นอกนั้น วิชาประวัติศาสตร์จะเน้นวัดความรู้มากกว่า ไม่ได้วัดศักยภาพ เราต้องมีวิธีการวัดอื่นเพื่อส่งเสริมความสามารถเด็ก ซึ่งมีความเห็นตรงกับผมในหลายจังหวัด เรากำลังจะศึกษาวิธีการทางด้านศักยภาพอื่น ๆ ของเด็กเพื่อนำไปส่งเสริมสู่ความสามารถของเขา และเรื่องที่มีการพูดกันมากขึ้นในวันนี้ คือ เรื่องความเป็นธรรมในเรื่องค่าใช้จ่ายรายหัว ของโรงเรียนขนาดใหญ่และโรงเรียนขนาดเล็ก โดยเฉพาะโรงเรียนเฉพาะทาง เช่น โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ “ทำอย่างไรที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมด้านการศึกษาสำหรับคนพิการ วันนี้เราไม่ได้คุยกันเรื่อง ของโอกาส มีตัวแทนของผู้ที่ดูแลด้านคนพิการลงความเห็นว่า ยังอยากจะเห็นความเป็นธรรมในการจัดสรรสิ่งต่าง ๆ ให้เขาเหล่านั้น และสุดท้ายเราจะพัฒนาอาชีพให้น้อง ๆ ผู้พิการ โดยคุณจะหาแนวทางให้เขามีงานทำอย่างไร และเรื่องการลงทุนคนพิการจะต้องมีมากกว่าปกติ ”
ในส่วนของการสนับสนุนของภาคเอกชนในการจัดการศึกษา ดร. สุภัทร กล่าวว่า การเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเป็นฐานสำคัญในการบอกดีมานด์ ไซส์ให้กับสถานศึกษา เช่น จังหวัดชลบุรี มีตัวแทนภาคเอกชนท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า การดิวกับสถานประกอบการหรือภาคเอกชน โดยให้เด็กเข้าไปปฏิบัติงานได้ เขามองว่าเป็นภาระ แต่จริง ๆ แล้วเรื่องของการจัดทวิภาคีหรือการจัดสหกิจศึกษา เป็นส่วนหนึ่งของการ recruit คน บริษัทสามารถที่จะจัดตำแหน่งงานได้ ในปีหนึ่ง 3-4 ตำแหน่งงาน ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกัน เด็กที่ได้มาฝึกงานระยะ 4 เดือน หรือ 1 ปี หรือแล้วแต่กำหนด สามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับหน่วยงานคุณได้ไหม ถ้าไม่ได้เมื่อเด็กจบ คุณไม่จำเป็นต้องรับเด็กคนนั้นเข้าทำงาน แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณพอใจ ในระบบการศึกษา 90 เปอร์เซ็นต์เด็กจะได้กลับไปทำงานในที่ที่ไปฝึกงาน เขาสามารถปรับตัวเข้ากับวิธีการทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน ที่เหลือเป็นเรื่องนิสัยใจคอ มนุษยสัมพันธ์ ความสามารถ
ทั้งนี้ บริษัทจะคัดเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ บางแห่งสถานประกอบการส่งข้อมูลไปยังมหาวิทยาลัยว่า ต้องปรับหลักสูตรการจัดการศึกษา เพราะ ปี 4 เทอม 2 ที่จะต้องไปสหกิจหรือฝึกงาน เพื่อที่เขาจะได้รับเด็กเข้าทำงานได้เลย ถ้าเขาพอใจ ไม่ต้องรอเด็กกลับไปเรียนอีก 1 เทอมแล้วค่อยกลับไปทำงาน นี่คือ สิ่งที่สะท้อน เราอยากเห็นความร่วมมือและการสะท้อนผู้จ้างงานไปยังสถานศึกษาเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
“อีกมุมหนึ่งคือ ทำอย่างไรให้เด็กสามารถดำรงชีวิตอยู่และสร้างงานเองได้ จริง ๆ เป็นเป้าหมายหลักของการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ เพราะเราต้องการให้เด็กเมื่อพ้นจากการศึกษาภาคบังคับแล้วก็สามารถจะ ดำรงชีวิตอยู่ได้ ด้วยตัวเองหรือเข้าสู่ตลาดแรงงาน ก่อนอายุ 18 ได้ ซึ่งอาจมีข้อจำกัด คือ งานในบางเรื่องทำได้ แต่บางเรื่องอาจจะทำงานไม่ได้ เพราะว่าเด็กยังไม่โตเต็มวัย แต่ถ้าเกิด 18 ปี จบ ปวช.หรือ ม.6 ก็จะเป็นเด็กอีกสเกลหนึ่ง สามารถทำงานได้หลายอย่าง สุดท้ายการเน้นสู่สมรรถนะการมีงานทำต้องเปลี่ยนวิธีการเรียนในสถานศึกษาด้วย จากเดิมที่คุณครูต้องใส่วิชาการ สมมติ 100 ชั่วโมงเต็มอาจจะปรับให้เหลือ 60 : 40 ซึ่งเรื่องนี้พูดกันเยอะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ทางฝ่ายวิชาการของ สพฐ.บอกว่า ถ้ามีการปรับหลักสูตร จัดดี ๆ อยู่กับเรา 55 เปอร์เซ็นต์ของเวลาเรียน อีก 45 เปอร์เซนต์ไปทำอะไรก็ได้ ประเทศของเราวัดความรู้ อย่างที่บอก ถ้าเราโอเน็ตดี performance โรงเรียนนั้นดีก็จะกลับไปที่โรงเรียนดี เวลาที่เรียนใส่วิชาการไปก็ได้ให้มันแน่น ๆ ไว้ดีกว่า คะแนนจะได้ดีขึ้นเท่าที่ดีได้ ฉะนั้น เรามีวิธีการวัดที่ดีหลายรูปแบบก็จะทำให้ การจัดการเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงไปเองว่า ต้องส่งเสริมสมรรถนะผู้เรียนอย่างไร ผู้เรียนจะได้ใช้สมรรถนะที่ดีไปทำ ไปดำรงชีวิต ไปประกอบวิชาชีพ ตามที่ชอบหรือถนัดได้ ”เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวปิดท้าย
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดทำแผนฯ ในประเด็นต่าง ๆ อาทิ ความเชื่อมโยงของการจัดการศึกษา/การฝึกอบรมในทุกช่วงวัยให้สอดคล้องอย่าเป็นระบบ ระบบการแนวแนะเพื่อให้ผู้เรียนค้นพบความชอบและความถนัดของตนเอง การพัฒนาผู้สูงอายุซึ่งจะต้องคำนึงถึงมิติต่าง ๆ อย่างรอบด้าน (มิติเศรษฐกิจ สุขภาพ สังคม ชุมชน และศักยภาพ) การให้ผู้เรียนมีรายได้ระหว่างเรียน การดูแลสุขภาพในทุกช่วงวัยเพื่อเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้เพื่อการมีงานทำ การพัฒนาวัยแรงงานที่มีการศึกษาต่ำกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน การสร้างและปรับเปลี่ยนค่านิยมเรื่องการศึกษาเพื่อการมีงานทำและแนวโน้มอาชีพที่เปลี่ยนแปลงไป การออกแบบหลักสูตรที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องอาชีพ อาทิ หลักสูตรทวิศึกษา หลักสูตรทวิภาคี การผลิตและพัฒนาครูเพื่อให้มีทักษะในการจัดการเรียนรู้เรื่องอาชีพ การกระจายอำนาจให้สถานศึกษาในการออกแบบหลักสูตรการศึกษาเพื่อการมีงานทำ และความไม่สอดคล้องของการประเมินสมรรถนะผู้เรียนที่เน้นผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการมากกว่าทักษะ เป็นต้น
#สกศ
#แผนการผลิต-พัฒนากำลังคน
#การศึกษาตามช่วงวัยเพื่อการมีงานทำ
#สมัครด่วน
01 มีนาคม 2563
ผู้ชม 717 ครั้ง