เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการสภาการศึกษาและคณะสื่อมวลชน ลงพื้นที่ประชุมระดมความคิดเห็นโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเสมอภาคและความเท่าเทียมทางการศึกษาให้กับกรรมการสภาการศึกษา เพื่อนำไปกำหนดนโยบายและแผนการศึกษาชาติ โดยมี รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, ดร.สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) และคณะกรรมการสภาการศึกษา ณ จังหวัดเชียงราย
จากการที่คณะกรรมการสภาการศึกษาได้ลงพื้นที่โรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ซึ่งจัดการศึกษาให้แก่ประชากรเด็ก 7 ชนเผ่า ได้แก่ จีนยูนาน ไทยใหญ่ อาข่า ลาหู่ ลีซู เมี่ยน และลั้ว จำนวน 817 คน เชื้อชาติไทย 754 คน ไม่มีสัญชาติ 63 คน และเยี่ยมชมโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน อ.แม่สาย จังหวัดเชียงราย
รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ปรีชา สุนทรานันท์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวภายหลังจากการลงพื้นที่โรงเรียนสันติคีรีวิทยาคมและโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จันว่า ภาพรวมทั้ง 2 โรงเรียน ซึ่งสภาการศึกษาได้มีประสบการณ์ในการดูของจริงพบว่า ในเรื่องความเสมอภาคและไม่เสมอภาคทางการศึกษาเป็นสิ่งที่เราพบเห็นอยู่ ที่ผ่านมาได้มีผู้ที่ทำในการแก้ไขบริหารจัดการและดำเนินการมาจนได้ผลงานต่าง ๆทำให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมมาก จึงต้องส่งเสริมและดำเนินการต่อไปให้ได้เกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่พบหากติดขัดอะไรก็จะมาร่วมกันแก้ไขต่อไป ในส่วนของสิ่งที่ดีต้องหาผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาต่อยอดให้ก้าวหน้าต่อไปได้ สิ่งที่อาจทำแล้วไม่ยั่งยืนก็จะนำมาเติมให้ยั่งยืนต่อไป
จาการลงพื้นที่ความเหลื่อมล้ำมีอยู่เยอะมาก ทั้งเรื่องพื้นที่ สถานะ เรื่องโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญเราต้องแก้ไขในความเหลื่อมล้ำให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมกันแก้ปัญหาต่าง ๆเชิญ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ สามารถทำได้ โดยต้องวางหลักการและต้องไม่เป็นเรื่องที่ผิดกฎ ระเบียบหรือสิ่งต่าง ๆ ของแต่ละส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เป็นประเด็นสำคัญ เช่น เรื่องที่เราต้องการในฝ่ายของกระทรวงหนึ่ง อาจเป็นข้อที่ไม่สามารถทำได้สำหรับกฏเกณฑ์ของกระทรวงหนึ่ง เป็นต้น จึงต้องมานั่งคุยกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและแก้ไขไปทีละจุด
อย่างไรก็ตาม การศึกษาระบบทวิภาคี เป็นสิ่งที่ดีมาก ให้นักเรียนที่เรียนอยู่ในภาคปกติของการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มีความรู้ ความสามารถในด้านทางวิชาชีพด้วย
ดร.สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวว่า เรื่องแรกเด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยในจังหวัดเชียงรายมีค่อนข้างสูง ที่นี่มีปัญหาการแตกต่างการดูแลเด็กที่ไม่ใช่คนไทย คือ การไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน แต่อาชีวศึกษารับเข้าเรียน ซึ่งเวลาทำทวิภาคีเด็กต้องไปปฏิบัติงานในโรงงาน คนที่ไม่มีบัตรประชาชนจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับกฏหมายแรงงาน เป็นโจทย์ที่ สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา(สกศ.)ต้องนำเสนอแนะแนวนโยบาย เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเป็นอย่างแรกและปัญหาเกี่ยวกับนักเรียนออกกลางคัน อันเนื่องมาจากปัญหาความยากจนและการย้ายถิ่นฐานของผู้ปกครอง สกศ.ต้องนำเสนอแนะแนวนโยบาย จับมือกันแก้ไขปัญหากับฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดูแลคนให้เท่าเทียมกัน และ การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ สถานศึกษามีวิธีการจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่หรือยัง เรื่องนี้ต้องมีความเข้าใจกับสถานศึกษาและปรับวิธีการทำงานเหมาะสมกับสภาพพื้นที่
นายนพรัตน์ อู่ทอง ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย พูดถึงภาพรวมของการศึกษาในจังหวัดเชียงรายว่า จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางชาติพันธ์มากที่สุดของประเทศไทย คือ 30 ชนเผ่า และมีจำนวนผู้สูงอายุมากเกิน 100 ปี จำนวน 148 คน ใน 7 อำเภอติดเขตประเทศเพื่อนบ้าน และมี 3 อำเภอที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งปัญหานักเรียนชนเผ่าคือ อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ปรับตัวยาก เจอะสภาพแวดล้อมความเป็นเมืองและถูกความเป็นเมืองคุกคามวิถีชีวิต ฉะนั้น การทำงานต้องช่วยเหลือกันทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนด้วยแผนพัฒนาการศึกษาเศรษฐกิจพิเศษและแผนพัฒนาการศึกษาชายแดน ส่วนการจัดการศึกษาจะต้องมององค์ประกอบทั้งหมดของจังหวัด เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อคุณภาพ เพื่อผู้สูงอายุและเพื่อตอบสนองต่อ เขตเศรษฐกิจพิเศษและการค้าตามแนวชายแดน เช่น เขตเศรษฐกิจพิเศษ อ.แม่สาย ถูกวางเป็นเมืองค้าขายชายแดน อ.เชียงแสน เป็นเมืองท่าที่มีการขนส่งสินค้า โดยเฉพาะขนส่งทางน้ำจากแม่น้ำโขงที่ลงมาจาก จีน เมียนม่า และลาว ลงมาจากฝั่งแม่น้ำโขง และยังมีท่าเรือ 2 แห่ง ของเชียงแสนเอง พร้อมที่จะระบายสินค้าและยังเป็นศูนย์กระจายสินค้า และ อ.เชียงของ logistic city ระบบการลำเลียงขนส่งการสต๊อคสินค้า กระจายสินค้าต่าง ๆ มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม โดยจะมีการเตรียมคนเพื่อไปรับงานในอนาคตอย่างไร
ศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย กล่าวต่อไปว่า สถานศึกษาในจังหวัดเชียงรายมีทั้งภาครัฐและเอกชน จำนวน 938 แห่งและมีศูนย์เด็กเล็ก สถานดูแลเด็ก สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) 500 กว่าแห่ง มีสถานศึกษาของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย(กศน.)และเอกชน มูลนิธิ กระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด แต่ก็ยังพบว่า กลุ่มชาติพันธ์ ที่อาศัยอยู่พื้นที่ตามแนวชายแดน ขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา เด็กตกหล่น นอกจากนี้ ยังพบเด็กที่อพยพข้ามแดน ไม่ถูกกฏหมายเข้ามาอยู่ ในพื้นที่และมีการย้ายตามแหล่งงานใหม่ ๆ และยังพบปัญหาการลาออกกลางคัน
นายนพดล สิงห์โตนาท ผู้อำนวยการโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน กล่าวว่า โรงเรียนแห่งนี้ได้งบประมาณจาก สพฐ. จัดนักเรียนเรียนฟรีทั้งหมดโดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ อาหาร 3 มื้อ อุปกรณ์ เสื้อผ้า วัสดุการศึกษา กิจกรรมทุกอย่างได้เหมือนกับเด็กปกติ เด็กเราเน้นเด็กมีสุขก่อน ความเป็นอยู่ที่พัก หอนอน จัดเสมือนเป็นบ้านของเขา อาหารได้รับครบ 5 หมู่ แววตาเด็กแจ่มใส เน้นมีสุขและดี การส่งเสริมเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และเรามีความเชื่อว่า หากเด็กมีความสุข เป็นคนดี ความเก่งของเด็กจะตามมา ด้านการศึกษามุ่งส่งเสริมการศึกษา การสร้างอาชีพ การลดความเหลื่อมล้ำต่อผู้ด้อยโอกาสในทุก ๆ ด้าน อาทิ การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมต่าง ๆ เด็กนักเรียนที่มาอยู่กับเรานั้น อยู่เมืองหรืออยู่ป่าต้องได้รับการศึกษาเหมือนกัน
ครูวินญูดา แซ่ย่าง ครู คศ.1 โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน ครูผู้ดูแลโครงการเครื่องเงินชาวเขา กล่าวว่า โครงการเครื่องเงินฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2537 ตามแนวพระราชดำริ ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเห็นนักเรียนของเราเป็นนักเรียนชนเผ่า แต่งกายชุดประจำเผ่า ประดับด้วยเครื่องเงินเต็มไปหมด พระองค์ท่านทรงตรัสว่า โรงเรียนของเรา ควรจะเปิดวิชาเครื่องเงินเพื่อที่จะได้ให้นักเรียนได้ฝึกอาชีพ เกี่ยวกับการทำเครื่องเงินเพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชนเผ่าไว้ ดิฉันเป็นนักเรียนศิษย์เก่าที่นี่ได้เรียนวิชาเครื่องเงินเช่นกัน ในปีนั้นสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จอีกครั้ง ทรงมอบทุนพระราชทานทุนการศึกษาให้ตัวของดิฉันได้เข้าไปเรียนที่ช่างทองหลวง ซึ่งเป็นทุนของสมเด็จพระเทพ เมื่อเรียนจบท่านให้ดิฉันมาดูแลโครงการนี้และบรรจุให้เป็นข้าราชการสานต่อโครงการนี้ต่อไป
ครูวินญูดา กล่าวต่อไปว่า โครงการเครื่องเงินฯเป็นวิชาเลือกเสรี นักเรียนสามารถเลือกตามความชอบ เข้ามา เรียนในระดับชั้นไม่เกิน 20 คน เปิดโอกาสให้นักเรียน ม.1-ม.3 ที่มีความสนใจมาเรียน ภายใน 1 วัน จะเรียน 2 ชั่วโมง ในเวลาเรียน ส่วนนอกเวลาเรียน 18.00-20.00 น.ทุกวัน เนื่องจากว่า ทาง โรงเรียนได้ทำ MOU กับบริษัทเอกชนถ้าเรียนจบสามารถไปต่อยอดกรุงเทพได้หรืออยากจะต่อในระดับปริญญาตรีที่กาญจนาภิเษกวิทยาลัย ช่างทองหลวงก็ได้ ซึ่งรายได้ส่วนที่ขายเครื่องเงิน จะให้นักเรียน 70 % คุณครูที่รับผิดชอบร่วมกัน 20 % โรงเรียน 5 % และที่เหลือ 5 % เก็บไว้เป็นทุนเดิมของโครงการเครื่องเงินฯ สินค้าที่ขายดีได้แก่ ต่างหู สร้อย ราคาไม่แพง โดยมีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ของโรงเรียน และเฟสบุ๊คของโรงเรียน
เด็กหญิงอทิตยา แซ่ย่าง โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์แม่จัน ม.3 เล่าว่า ตนเลือกโครงการเครื่องเงินฯเป็นวิชาเลือกเสรี เรียนเอาไปทำเครื่องประดับของม่ง เพื่อให้รู้จักการทำเครื่องเงิน รู้สึกชอบโครงการนี้มาก เนื่องจากจะมีรายได้ มีวิชาชีพติดตัวแล้ว ยังทำเป็นเครื่องประดับไว้ใช้ในครอบครัวได้อีกด้วย
15 มกราคม 2562
ผู้ชม 1127 ครั้ง