นายณรงค์ แผ้วพลสง เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอาหารในระดับอาเซียนและระดับโลก เนื่องจากประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ อุดมสมบูรณ์ และอาหารไทยก็มีชื่อเสียงมานาน เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ด้านรสชาติ ความละเอียดประณีตบรรจง และที่สำคัญมีประโยชน์ต่อสุขภาพ อาหารไทยหลายอย่างเป็นที่รู้จักและขึ้นชื่อติดเมนูระดับโลก อาทิ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย และแกงเขียวหวาน เป็นต้น สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาคิดค้นนวัตกรรมใน การทำอาหารไทยให้เป็นอาหารจานโปรดของทั่วโลกโดยมีรสชาติต้นตำรับไทยแท้ดั้งเดิม ไม่ผิดเพี้ยน สามารถปรุงที่ไหนก็ได้ เกิดความสะดวก รวดเร็ว และสอดรับกับวิถีชีวิตที่รีบเร่งในปัจจุบัน โดยให้ผู้เรียนอาชีวะใช้ความรู้ ด้านวิชาชีพผนวกกับเทคโนโลยีมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ ต่อยอดในเชิงพาณิชย์และสามารถเรียนการทำธุรกิจพร้อมกับสร้างรายได้ระหว่างเรียน ตามโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระในกลุ่มผู้เรียนอาชีวศึกษา ดังเช่น ธุรกิจผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one ของศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และธุรกิจน้ำยำสำเร็จรูปพร้อมทาน ตรา ยำปากแตก ของศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ ที่ได้ผ่านการคัดเลือกเป็น 1 ใน 20 ทีมธุรกิจดีเด่นของโครงการอาชีวศึกษาที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระให้ผู้เรียนอาชีวศึกษาที่จะจัดแสดงแผนธุรกิจในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 ที่จะจัดขึ้น ณ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และธุรกิจซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส ของศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษาระดับชาติ 5 ดาว ประจำปีการศึกษา 2560
“น้องแพรว” หรือ นางสาวปริศนา พูนกระโทก นักศึกษาชั้นปวช.3 สาขาวิชาบัญชี วิทยาลัยเทคนิค พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ผู้จัดการธุรกิจผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one เล่าว่า ผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นแกงพื้นบ้านรสชาติต้นตำรับแบบไทยอีสานแท้ๆ เพียงแค่ฉีกซอง ต้มน้ำให้เดือดแล้วใส่ผงแกงฯ เติมผักและเนื้อสัตว์ที่ต้องการ ก็จะได้แกงพื้นบ้านต้นตำรับอีสานพร้อมรับประทาน โดยผงแกงฯ สามารถทำได้หลากหลายเมนู อาทิ แกงหน่อไม้ แกงอ่อม แกงขี้เหล็ก เป็นต้น ซึ่งส่วนประกอบหลักของแกงพื้นบ้านอีสาน All in one คือ ผักพื้นบ้านปลอดสารพิษที่ปลูกเองในท้องถิ่น ได้แก่ ใบย่านาง หอมแดง ใบแมงลัก พริก และตะไคร้ นำมาอบด้วยความร้อนอุณหภูมิสูง 200 องศาเซลเซียส แล้วคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงรสด้วยสูตรเด็ดเฉพาะ แปรรูปออกเป็นผงแกงพื้นบ้านอีสาน ขนาด 70 กรัม สามารถรับประทานได้ 2 - 3 คน บรรจุซองด้วยระบบสูญญากาศซึ่งทำให้เก็บรักษาได้นานถึง 6 เดือนโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ผ่านการตรวจสอบด้านความสะอาด ถูกหลักอนามัย จากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดชมพู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี และ ผ่านการรับรองค่าความชื้นจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ปัจจุบัน ผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one มียอดสั่งซื้อไม่ต่ำกว่า 100 ซองต่อเดือน โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทยภาคเหนือและภาคอีสานที่ติดใจในรสชาติแซ่บนัวแบบต้นตำรับอีสานแท้ ๆ และไม่ค่อยมีเวลาในการประกอบอาหาร หรือคนไทยที่กำลังจะเดินทางไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยอนาคตวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ผงแกงพื้นบ้านอีสานให้เป็นแบบกึ่งสำเร็จรูป คือ มีผักและเนื้อสัตว์บรรจุอยู่ในซองพร้อมรับประทานได้เลย ตอบโจทย์ของคนยุคใหม่ที่มีชีวิตรีบเร่ง ทั้งนี้ หากสนใจสั่งซื้อผงแกงพื้นบ้านอีสาน All in one ขนาด 70 กรัม ราคา 25 บาท ติดต่อได้ที่โทร.099-464-6944 หรือ ทางเฟซบุ๊คที่เพจ บ้านอีสาน All in one หรือศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิคพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
“เจ๊ฟ้า” หรือ นางสาวปวันรัตน์ วันมา นักศึกษาชั้นปวส. 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ผู้จัดการธุรกิจน้ำยำสำเร็จรูปพร้อมทาน ตรา ยำปากแตก เล่าว่า ตนเป็นคนชอบทานยำรสแซ่บจัดจ้าน พอไปซื้อมาทานแล้ว รสชาติไม่ถูกใจ เลยลองทำทานเองปรากฏว่าอร่อยถูกใจ จากนั้นเลยลองทำให้ครอบครัวและเพื่อนๆ ได้ชิมบ้าง ซึ่งทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าแซ่บอร่อยมาก และแนะนำด้วยว่าตนน่าจะลองทำขายดู ซึ่งช่วงนั้นตนก็มีเงินไม่ค่อยพอใช้และไม่อยากรบกวนขอพ่อแม่ จึงตัดสินใจลองเปิดร้านเล็กๆ ขายลูกชิ้นลวกแถวหน้าวัดหนองผา อำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ชื่อร้าน “ยำปากแตก By เจ๊ฟ้า” โดยขายลูกชิ้น 6 ไม้ หรือราคา 30 บาทขึ้นไป บริการยำให้ฟรี ผลปรากฏว่า ลูกค้าชอบติดใจกันมาก โดยบอกว่าน้ำยำแซ่บมาก ขายไปได้ 2 – 3 วัน ก็มีลูกค้ามาขอซื้อน้ำยำกลับไปทำทานเองที่บ้าน ยิ่งเมื่อตนเอาข้อมูลและภาพไปประชาสัมพันธ์เชิญชวนโดยโพสต์ ลงในเฟสบุ๊คที่เพจ “ของกินอุตรดิตถ์” เสียงตอบรับดีมาก คนสนใจสั่งซื้อกันเป็นจำนวนมาก ตนจึงใช้วิธีให้ลูกค้าสั่งซื้อล่วงหน้า แล้วบริการส่งให้ลูกค้าถึงที่ แต่ก็ยังทำขายให้ลูกค้าไม่ทันเพราะต้องเรียนด้วย หลังๆ ลูกค้ารอยำลูกชิ้นไม่ไหว เลยหันมาขอซื้อน้ำยำสำเร็จรูปนำกลับไปยำทานเองที่บ้าน และในเวลานั้นคุณครูที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ เห็นธุรกิจตนไปได้ด้วยดี จึงมาชวนให้เขียนแผนธุรกิจส่งในนามศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์ และให้เงินลงทุนสนับสนุนธุรกิจ ตนจึงนำเงินทุนสนับสนุนไปซื้ออุปกรณ์เครื่องจักรเพื่อทำน้ำยำสำเร็จรูปพร้อมทาน ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ยำปากแตก” ที่ได้ผ่านการคัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติโดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย ผ่านการทดสอบจากศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ว่าไม่พบเชื้อราและจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ด้วยส่วนผสมที่ลงตัว จึงเป็นน้ำยำที่รสชาติจัดจ้าน อร่อยได้หลากหลายเมนู บรรจุในขวด ขนาด 200 มิลลิลิตร และสามารถเก็บไว้ได้นานกว่า 15 วันโดยแช่ไว้ในตู้เย็น ราคา 35 บาท พิเศษ! โปรโมชั่น 3 ขวด 100 บาท ต่อมามีผู้ประกอบการร้านอาหารมาติดต่อขอซื้อ โดยขายในราคา ก.ก.ละ 180 บาท ปัจจุบัน น้ำยำปากแตก มียอดสั่งซื้อต่อเดือนกว่า 300 ขวด คิดเป็นยอดขายราว 9,000 – 10,000 บาท ต่อเดือน และได้เพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจโดยได้เข้าร่วมกับ Food Panda ให้เป็นผู้ช่วยในการบริการส่งสินค้าให้กับลูกค้าในอำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์
ทั้งนี้ หากสนใจสั่งซื้อ มีบริการส่งทั่วประเทศ คิดค่าบริการส่ง (เริ่มต้นที่ 50 บาท) สามารถติดต่อได้ที่โทร. 093-245-3406 หรือ ทางเฟซบุ๊คที่เพจ ยำปากแตก เดลิเวอรี่ อุตรดิตถ์ หรือทาง Line ID:@228bmezm หรือที่ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุตรดิตถ์
“น้องแพ็ค” หรือ นางสาวพาณิภัค ทิมหอม นักศึกษาชั้นปวส.1 สาขาอาหารและโภชนาการ วิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี เล่าถึง ธุรกิจซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส ว่า ผัดกะเพรา เป็นหนึ่งในเมนูที่นิยม ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็นอาหารที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ซึ่งถ้าจะรับประทานอาหารตามสั่ง ผู้บริโภคส่วนมากจะนึกถึงข้าวผัดกะเพราเป็นอันดับแรก เพราะเป็นเมนูง่าย ๆ แต่ได้รสชาติ ทำทานเองได้ ตนและเพื่อน ๆ จึงได้ช่วยกันคิดค้นซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จที่มีสูตรเฉพาะ โดยได้คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สด สะอาด ส่วนผสมหลักสำคัญที่ทำให้ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จรสชาติอร่อยจัด
จ้านซึ่งเป็นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ ก็คือ พริก ซึ่งพวกตนเลือกใช้พริกกะเหรี่ยง พริกขี้หนูสวน และพริกจินดาแดง โดยพริกกะเหรี่ยงเป็นพริกที่ปลูกมากตามบริเวณชายแดนไทย-พม่า เฉพาะในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งจะให้ความเผ็ดร้อนแรง ส่วนพริกขี้หนูสวนจะให้ความเผ็ดแบบหอมหวน และพริกจินดาแดงจะให้ความเผ็ดพร้อมกับเพิ่มสีสันสวยงาม นำมาผสมรวมกับพระเอกอย่างใบกะเพราและเครื่องปรุงรสสูตรเฉพาะซึ่งไม่ใส่ผงชูรสและวัตถุกันเสีย ก็จะได้ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จผ่านกรรมวิธีในการผลิตที่สะอาดและมีคุณภาพ โดยได้ผ่านการรับรองจากสถาบันโภชนาการของมหาวิทยาลัยมหิดลว่าไม่พบเชื้อราและจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค เมื่อลูกค้านำไปผัดรวมกับเนื้อสัตว์ ก็จะได้กะเพรารสชาติเข้มข้นอร่อย คงที่ด้วยรสชาติกะเพราแท้ ๆ แม้เปลี่ยนมือคนปรุงก็ยังอร่อย ซึ่งปัจจุบัน ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส มียอดสั่งซื้อต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 200 ขวด ยอดขายเฉลี่ย 10,000 – 13,000 บาทต่อเดือน โดยอนาคตวางแผนพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เป็นแกลลอนสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหาร และเป็นแบบซองชนิดพกพาสะดวก ทั้งนี้ หากสนใจสั่งซื้อ ซอสกะเพราปรุงรสสำเร็จ ตรา เลิศรส ขวดละ 220 มล. ราคา 55 บาท พิเศษ! โปรโมชั่น 2 ขวด ขายราคา 100 บาท มีบริการส่งทั่วประเทศ คิดค่าบริการส่ง (เริ่มต้นที่ 50 บาท) สามารถติดต่อได้ที่โทร.081-756-5959 หรือ ทางเฟสบุ๊คที่เพจ ศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษากาญจนบุรี
30 พฤศจิกายน 2562
ผู้ชม 1356 ครั้ง