สสว. เปิดโครงการยกระดับผู้ประกอบการรายย่อย ปีงบประมาณ 2565 ผลักดันเอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบภาครัฐ ด้านมาตรฐานสินค้าและเทคโนโลยีดิจิทัล ตั้งเป้ากว่า 1,300 รายทั่วประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในยุค New Normal และ Next Normal ผสาน 5 หน่วยร่วม ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา สถาบันอาหาร และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ณ ศูนย์นวัตกรรมและความรู้ มทร.ธัญบุรี บางซื่อจังชั่น จตุจักร
รศ.ดร.วีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า สำหรับโครงการยกระดับผู้ประกอบการรายย่อยหรือ MSME Step up ปีงบประมาณ 2565 จะมุ่งเน้นผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งต้องการการส่งเสริมและยกระดับในด้านต่าง ๆ โดยให้ความรู้และสร้างทักษะในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการประกอบธุรกิจ การเลือกใช้เครื่องมือดิจิทัลในการทำการตลาดยุคดิจิทัล การยกระดับมาตรฐานสินค้า การทำบัญชีที่ถูกต้อง เพื่อที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างราบรื่น โดยโครงการดังกล่าว มีด้วยกันทั้งหมด 2 กิจกรรมหลัก และมีหน่วยร่วมดำเนินการดูแลเป็นการเฉพาะในแต่ละพื้นที่ กิจกรมแรกเป็นการยกระดับ SME ด้านมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะความรู้เกี่ยวกับมาตรฐาน อย. กฎระเบียบ ข้อบังคับ ขั้นตอนการขอมาตรฐาน อย. การทำฉลากโภชนาการ การประเมินสถานที่ผลิต และให้คำปรึกษาในการเตรียมยื่นขอมาตรฐาน อย. โดยสถาบันการอาหารเป็นผู้ดูแลจำนวน 200 ราย ทั่วประเทศ
ส่วนอีกกิจกรรมคือกิจกรรมส่งเสริมการประกอบการเพื่อเข้าสู่ระบบของภาครัฐ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ดำเนินการ 4 พื้นที่ คือ กรุงเทพมหานคร ภาคกลางและภาคตะวันออก 19 จังหวัด โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ) ภาคเหนือ 17 จังหวัด โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด โดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และ (4) ภาคใต้และภาคตะวันตก 21 จังหวัด โดยสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เป็นกิจกรรมที่มุ่งให้ความรู้ และสร้างทักษะในการนําเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบันมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร การปฏิบัติงาน และการทำงานร่วมกัน หรือใช้เพื่อพัฒนากระบวนการทำงาน หรือระบบงานในองค์กรให้มีความทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จากนั้นจะมีการคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อสร้างประสบการณ์ในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการประกอบการ พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขาย และผลักดันเข้าสู่ระบบภาครัฐ
ด้าน รศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.ธัญบุรี) ในฐานะหน่วยร่วมดำเนินการฯ กล่าวว่า ทาง มทร.ธัญบุรี รับผิดชอบทั้งหมด 19 จังหวัด ถือว่าเป็นโอกาสดี เนื่องจากว่า เราเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จัดการศึกษาบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำมาช่วยเหลือในด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ ถือว่าเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศและมีอีกโครงการหนึ่งซึ่งเป็นโครงการใหญ่ของ กระทรวง อว.โดยกลุ่มราชมงคลที่ร่วมมือกับ อว. โครงการ 1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย (U2T) ทำให้มหาวิทยาลัยเป็นรู้จักของท้องถิ่น คณาจารย์ได้มีส่วนร่วมการในพัฒนาชุมชน โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบลฐานความเข้มแข็งรากแก้วให้ประเทศ จะเห็นว่า โครงการเหล่านี้เราได้นำความรู้ของมหาวิทยาลัยไปช่วยในการพัฒนา ทั้งชุมชน ตำบล ผู้ประกอบการโดยที่เราเองมีความเข้มแข็งในด้านวิทยาศาสตร์และอีกหลาย ๆ ด้าน เช่น ด้าน IT ดิจิตอล ซึ่งจำนำความรู้ข้อมูลในปัจจุบันในการพัฒนาที่จะยกระดับคุณภาพสร้างมูลค่าเพิ่ม การที่จะใช้องค์ความรู้ดิจิตอลหลายทีมมาช่วยพัฒนาโดยเฉพาะด้านการการตลาด ฐานข้อมูลในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดเป็นไปตามความต้องการของตลาด การบริหารจัดการของตลาด ต่อไปในอนาคตตั้งเป้าให้ความร่วมมือกับ 9 ราชมงคล ตนในฐานะประธานคณะกรรมการอธิการบดี มทร. 9 แห่ง จะนำเสนอเข้าที่ประชุม 21 กุมภาพันธ์นี้ ร่วมมือกันเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง โดยใช้องค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตรงนี้ไปช่วย
ถือเป็นความโชคดีของเราได้เข้าร่วมโครงการนี้ ที่ได้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ลูกศิษย์ มทร.ธัญบุรี และถ้าขยายไปสู่ 9 ราชมงคล .ซึ่งมีนักศึกษาอยู่ 146,000 คน ปีหนึ่งมีผู้สำเร็จการศึกษา 40,000 คน ซึ่งเป็นกำลังที่สำคัญของประเทศ ถ้าเขามีส่วนหนึ่งไปเป็นผู้ประกอบการที่ใช้องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเทศจะพัฒนายกระดับขึ้นมาอย่างชัดเจน โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์โรคระบาด แต่ขอย้ำว่า วิทยาศาสตร์และดิจิตอลมียังเดินหน้าต่อไป
อธิการบดีมทร.ธัญบุรี กล่าวต่อว่า ในส่วนของ มทร.ธัญบุรี จะดูแลผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ภาคกลาง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ซึ่งเราได้รับความเชื่อมั่นจาก สสว. ให้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2560 ที่ถือเป็นการให้บริการวิชาการหรือนวัตกรรม แก่ภาคประกอบการเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม ชุมชม และสังคม สร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์ได้สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของ มทร.ธัญบุรี ในการเคียงข้างชุมชน สังคมและผู้ประกอบการ และเชื่อมั่นว่าโครงการ MSME Step up ปีงบประมาณ 2565 นี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจและยืนหยัดต่อไปในท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19
ขณะที่ นายนิติ วิทยาวิโรจน์ ผู้อำนวยการสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มทร.ธัญบุรีในฐานะผู้แทนหน่วยร่วมดำเนินการฯ กล่าวเสริมว่า กิจกรรมยกระดับเอสเอ็มอีด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและมาตรฐานสินค้านี้ มุ่งเน้นไปที่ผู้ประกอบการ OTOP กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้ไม่เกิน1.8 ล้านบาทต่อปี โดยเน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามายกระดับการประกอบธุรกิจ พร้อมทั้งเพิ่มกระบวนการสร้างประสบการขายผ่านช่องทางออนไลน์ให้กับผู้ประกอบการ เพื่อให้มียอดขายเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อส่งเสริมการเข้าสู่ระบบการค้าภาครัฐ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการซื้อขายกับหน่วยงานภาครัฐได้ตามมาตรการ SME-GP ของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ โดย มทร.ธัญบุรี รับผิดชอบดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภาคกลางและภาคตะวันออก รวมทั้งหมด 19 จังหวัด คือ ชัยนาท พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี อ่างทอง นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว
ทั้งนี้ จากประสบการณ์การดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญจากคณาจารย์ ทีมวิทยากรมืออาชีพ จะช่วยให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมเห็นภาพชัดเจน ก่อให้เกิดแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีลักษณะเฉพาะตัว สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ได้รับการยอมรับและที่สำคัญสร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ เว็บไซต์ www.smeonline.rmutt.ac.th/stepup65
หรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02 549 4004, 090 916 2227 และ 097 278 8879
10 กุมภาพันธ์ 2565
ผู้ชม 786 ครั้ง